หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

บทที่ 4 INTERNET

1.อินเตอร์เน็ต คืออะไร
ตอบ
อินเทอร์เน็ต (Internet) มาจากคำว่า Inter และ net
1. อินเทอร์ (Inter) คือ ระหว่าง หรือท่ามกลาง
2. เน็ต (Net) คือ เครือข่าย (Network)

อินเทอร์เน็ต (Internet)
คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายเล็ก ๆ มากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวกันทั้งโลก
คือ เครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย
คือ การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย
คือ เครือข่ายของเครือข่าย

ข้อมูลจากหนังสือดี
+ Internet starter kit (Adam C.Engst | Corwin S. Low | Michael A. Simon)
+ เปิดโลกอินนเทอร์เน็ต (สมนึก คีรีโต | สุรศักดิ์ สงวนพงษ์ | สมชาย นำประเสริฐชัย)
+ User's Basic Guide to the Internet (สำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล)
+ The ABCs of The Internet (Srisakdi Charmonman,Ph.D. ...)
ใช้ข้อมูลจากเว็บหน้านี้ไปอบรมเรื่อง Internet คืออะไร ที่โรงเรียนบุญวาทย์ วิทยาลัย ลำปาง
(หากมีสิ่งใดผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง ขอได้ชี้แนะมายังทีมงาน เราจะรีบตรวจสอบ และแก้ไขในทันที - E-Mail)

ผังแสดงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet)

2. ความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต
ตอบ 
ประวัติความเป็นมา

อินเทอร์เน็ต คือ การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet = Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) อาร์ป้าเน็ตได้รับทุนสนันสนุนจากหลายฝ่าย และเปลี่ยนชื่อเป็นดาป้าเน็ต (DARPANET = Defense Advanced Research Projects Agency Network) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบาย และได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิดจาก 4 เครือข่ายเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ 1)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลองแองเจอลิส 2)สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด 3)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาบาร่า และ4)มหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่งดาป้าเน็ตได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในอินเทอร์เน็ต, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัครทั้งสิ้น
ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) ดาป้าเน็ตตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ จึงเป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน เพราะ TCP/IP เป็นข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกสื่อสารด้วยความเข้าใจบนมาตรฐานเดียวกัน
ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) ดาป้าเน็ตได้มอบหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบอินเทอร์เน็ตให้มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน
ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เริ่มใช้การกำหนดโดเมนเนม (Domain Name) เป็นการสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution Database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บไซต์ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ในเครื่องบริการโดเมนเนมหรือไม่ ถ้ามีก็จะตอบกับมาเป็นหมายเลขไอพี ถ้าไม่มีก็จะค้นหาจากเครื่องบริการโดเมนเนมที่ทำหน้าที่แปลชื่ออื่น สำหรับชื่อที่ลงท้ายด้วย .th มีเครื่องบริการที่ thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของโดเมนเนมที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด
ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) ทิม เบอร์เนอร์ส ลี (Tim Berners-Lee) แห่งศูนย์วิจัย CERN ได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ขึ้น สามารถเปิดด้วย เว็บเบราวเซอร์ (Web Browser) ตัวแรกมีชื่อว่า WWW (World Wide Web) แต่เว็บไซต์ได้รับความนิยมอย่างจริงจัง เมื่อศูนย์วิจัย NCSA ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เออร์แบน่าแชมเปญจ์ สหรัฐอเมริกา ได้คิดโปรแกรม MOSAIC (โมเสค) โดย Marc Andreessen ซึ่งเป็นเว็บเบราว์เซอร์ระบบกราฟฟิก หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสคก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป (Browser Timelines: Lynx 1993, Mosaic 1993, Netscape 1994, Opera 1994, IE 1995, Mac IE 1996, Mozilla 1999, Chimera 2002, Phoenix 2002, Camino 2003, Firebird 2003, Safari 2003, MyIE2 2003, Maxthon 2003, Firefox 2004, Seamonkey 2005, Netsurf 2007, Chrome 2008)
ในความเป็นจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ติดสิน ผู้เสนอ ผู้ทดสอบ ผู้กำหนดมาตรฐานก็คือผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ก่อนประกาศเป็นมาตรฐานต้องมีการทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้นก่อน ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain Name ก็จะยึดตามนั้นต่อไป เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลพื้นฐานอาจต้องใช้เวลา
ข้อมูลจาก http://www.computerhistory.org/exhibits/internet_history/
และ http://www.sri.com/about/timeline/arpanet.html


Arpanet : The Internet as you know it today, and through which you are accessing this information, had its beginnings in the late 1960s as the "ARPANET". Started by the U.S. Department of Defense Advanced Research Projects Agency (now DARPA), the entire network consisted of just four computers linked together from different sites to conduct research in wide-area networking. SRI, then known as the Stanford Research Institute, hosted one of the original four network nodes, along with the University of California, Los Angeles (UCLA), the University of California, Santa Barbara (UCSB), and the University of Utah. The very first transmission on the ARPANET, on 29th October 1969, was from UCLA to SRI.
What is IPv6?
from RFC2460 = Request for Comments:2460 .






IP version 6 (IPv6) is a new version of the Internet Protocol, designed as the successor to IP version 4 (IPv4) [RFC-791]. The changes from IPv4 to IPv6 fall primarily into the following categories:
o Expanded Addressing Capabilities
o Header Format Simplification
o Improved Support for Extensions and Options
o Flow Labeling Capability
o Authentication and Privacy Capabilities
IP4 to IP6 Webguides
ipv6.net | ipv6.org
byxtreme.com *
buu.ac.th
kmitnb.ac.th
sun.com
wikipedia.org
tcpipguide.com
nectec.or.th
itcompanion.co.th
nectec.or.th
vanbest.org (IETF:1990)

Webserver
ค.ศ.1989 Tim Berners-Lee เริ่มโครงการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารแบบข้อความที่มีปฏิสัมพันธ์กัน (Hypertext) แก่บริษัท CERN ทำงานบน NeXTSTEP OS ระหว่าง ค.ศ. 1991 – 1994 พอปี ค.ศ.1994 ก็ตั้ง W3C เพื่อพัฒนามาตรฐานอื่น ๆ อาทิ HTTP , HTML
โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น
- Web Browser
- Web Server

Mosaic เป็น Web Browser ที่ทำให้ผู้คนได้รู้จักอินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายในราวปีค.ศ.1993 ด้วยความสามารถที่ทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลในแบบภาพกราฟฟิกและสื่อผสมได้ง่าย สำหรับ world wide web พัฒนาโดย Marc L. Andreessen และ Eric J. Bina ขึ้นที่ The national center for supercomputing application (NCSA)
รายชื่อเว็บบราวเซอร์ (Web browser lising)
เวิลด์ไวด์เว็บเข้าเบญจเพส (itinlife441)
เวิลด์ไวด์เว็บ (www = world wide web) คือพื้นที่เก็บข้อมูลข่าวสารและเผยแพร่ที่เชื่อมต่อกันทางอินเทอร์เน็ต มักเรียกอย่างสั้นว่าเว็บ มีกำเนิดปีพ.ศ. 2532 โดย Tim Berners-Lee และใช้เครื่อง NeXT เป็นเครื่องบริการเว็บ (Web server) เครื่องแรกของโลก ผ่านโปรโตคอล HTTP เมื่อนับอายุถึงปัจจุบันก็ได้ 25 ปี ซึ่งคนไทยเชื่อว่าย่างเข้าเบญจเพส กำลังเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่ แต่ความนิยมของ www ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเกิดขึ้นมาแล้วนับร้อยปี เพราะมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนไปตลอดเวลา ที่มีทั้งด้านบวกและลบควบคู่กันไป
แม้จะรับรู้กันว่ามนุษย์เข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย จากข้อมูลกลางปี 2555 พบว่ามีเพียงร้อยละ 34.3 ที่ได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตจากผู้ใช้ 2.4 พันล้านคนจากประชากร 7 พันล้านคน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตจะไม่ลดลง การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่พบว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยตรงมีสูงกว่าร้อยละ 60 ของผู้ใช้ที่เป็นมนุษย์ หรือ 1.45 พันล้านบอท (bots) จากรายงานในบล็อกของ incapsula.com ซึ่งมีพฤติกรรมที่คุ้นเคย เช่น ขูดเอาอีเมล (Scraper) ส่งสแปม (Spam) แฮกระบบ (Hacking tools) ปลอมตัวเป็นคน (Impersonators) แม้จะมีความพยายามป้องกันในทุกวิถีทาง แต่ก็มีผู้ไม่ประสงค์ดีพยายามหลบหลีกการป้องกันเหล่านั้นมาให้ได้เห็นอยู่เสมอ
การใช้งานอินเทอร์เน็ตแบ่งกลุ่มการใช้งานได้ 4 กลุ่มคือ การสื่อสาร การค้า การศึกษา และความบันเทิง ปัจจุบันพบว่าสถิติการใช้เพื่อการสื่อสารสูงเป็นอันดับหนึ่ง พบรายงานการใช้ line และ facebook ของคนไทยสูงขึ้นเป็นปรากฎการณ์ ส่วนความบันเทิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน พบว่า The Intelligence Group รายงานผลสำรวจว่าปลายปี 2556 มีวัยรุ่น 14 -- 18 ปีจำนวน 3 ใน 4 ที่สหรัฐอเมริกาใช้ youtube สม่ำเสมอกว่า facebook แต่ถ้าอายุ 24 ปีขึ้นไปยังใช้ facebook สูงกว่า ส่วนอันดับสามคือ iTunes ให้บริการฟังเพลงบนอุปกรณ์ของ Apple เช่น iPhone หรือ iPod หรือ iPad อันดับสี่คือ instagram ซึ่งสถิตินี้ตอกย้ำว่าการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิงยังครองตลาดผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างเด่นชัด ในกลุ่มวัยรุ่นไทยก็อาจมีสถิติที่ใกล้เคียงกัน อินเทอร์เน็ตจะยังได้รับความนิยมตราบเท่าที่มนุษย์ชื่นชอบการสื่อสาร และความบันเทิง
http://www.emarketer.com/Article/
http://thumbsup.in.th/2014/02/teen-youtube-over-facebook/
http://www.incapsula.com/blog/bot-traffic-report-2013.html
http://www.thecultureist.com/2013/05/09/
http://motherboard.vice.com/blog/
http://edition.cnn.com/2014/03/12/tech/

3.ISP คืออะไร
ตอบ
ISP หรือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต คืออะไร ISP คือ บริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ซึ่งบางครั้งเรียก ISPs ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน-ผู้เขียน) ย่อมาจากคำว่า Internet Service Provider ตามหนังสือศัพท์คอมพิวเตอร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ 4 ได้ระบุความหมายว่าหมายถึง "ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต" ISPเป็นหน่วยงานที่บริการให้เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของบริษัท เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั่วโลก ในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ หน่วยงานราชการหรือสถาบันการศึกษา กับบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ทั่วไป ISP ที่เป็นหน่วยงานราชการ หรือสถาบันการศึกษา มักจะเป็นการให้บริการฟรีสำหรับสมาชิกขององค์การเท่านั้น แต่สำหรับ ISPประเภทที่ให้บริการในเชิงพาณิชย์ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตจะต้องสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ ISP รายนั้นๆ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งอัตราค่าบริการจะขึ้นอยู่กับ ISP แต่ละราย ข้อดีสำหรับผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ก็คือ การให้บริการที่มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรองรับกับความต้องการของผู้ใช้ที่แตกต่างกัน มีทั้งรูปแบบส่วนบุคคล ซึ่งจะให้บริการกับประชาชนทั่วไปที่ต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต และบริการในรูปแบบขององค์กร หรือบริษัท ซึ่งให้บริการกับบริษัทห้างร้าน หรือองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการให้พนักงานในองค์กรได้ใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ISP จะเป็นเสมือนตัวแทนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ถ้าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องการข้อมูลอะไรก็สามารถติดต่อผ่าน ISP ได้ทุกเวลา โดยวิธีการสมัครสมาชิกนั้น เราสามารถโทรศัพท์ติดต่อไปยัง ISP ที่ให้บริการต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถเลือกรับบริการได้ 2 วิธี คือ ซื้อชุดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปตามร้านทั่วไปมาใช้ และสมัครเป็นสมาชิกรายเดือน โดยใช้วิธีการติดต่อเข้าไปยัง ISP โดยตรง ซึ่งวิธีการ และรายละเอียดในการให้บริการของแต่ละที่นั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบการให้บริการของ ISP รายนั้น ๆ จะกำหนด ในการเลือก ISP นั้น ต้องพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานของเราเป็นหลัก โดยมีหลักในการพิจารณาหลายอย่างด้วยกัน เช่น ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตว่ามีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ดำเนินธุรกิจด้านนี้มากี่ปี มีสมาชิกใช้บริการมากน้อยขนาดไหน มีการขยายสาขาเพื่อให้บริการไปยังต่างจังหวัดหรือไม่ มีการลงทุนที่จะพัฒนาการให้บริการมากน้อยเพียงใด เป็นต้น ประสิทธิภาพของตัวระบบ ก็เป็นส่วนสำคัญที่เราจำเป็นต้องพิจารณาด้วย เช่น ความเร็วในการรับ/ส่ง สม่ำเสมอหรือไม่ (บางครั้งเร็วบางครั้งช้ามาก) สายโทรศัพท์ต้นทางหลุดบ่อยหรือไม่ หรือในบางกรณีที่เรากำลังถ่ายโอนข้อมูล มายังเครื่องคอมพิวเตอร์ปรากฏว่าใช้งานไม่ได้ การเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ ไปที่ใดบ้างด้วยความเร็วเท่าไหร่ และการเชื่อมต่อกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศเป็นอย่างไร มีสายสัญญาณหลักที่เร็ว หรือมีประสิทธิภาพสูงมากเพียงใด เพราะปัจจัยเหล่านี้จะมีผลต่อความเร็วในการใช้อินเทอร์เน็ตด้วย งานหลักของ ISP ISP : Internet Service Provider คือ บริษัทที่ให้บริการทางด้านอินเทอร์เน็ต เป็นเสมือนตัวแทนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ถ้าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องการข้อมูลอะไรก็สามารถติดต่อผ่าน ISP ได้ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการเลือก ISP นั้น ต้องพิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานของเราเป็นหลัก รวมถึงค่าบริการก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึง โดยหลักการพิจารณา ISP นั้น เราต้องดูว่า ISP มีสายสัญญาณหลักที่เร็ว หรือมีประสิทธิภาพสูงมากเพียงใด มีสมาชิกใช้บริการมากน้อยขนาดไหน เพราะปัจจัยเหล่านี้จะมีผลต่อความเร็วในการใช้อินเทอร์เน็ตด้วย โดยวิธีการสมัครสมาชิกนั้น เราสามารถโทรศัพท์ติดต่อไปยัง ISP ที่ให้บริการต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถเลือกรับบริการได้ 2 วิธี คือ ซื้อชุดอินเทอร์เน็ตสำเร็จรูปตามร้านทั่วไปไปใช้ และสมัครเป็นสมาชิกรายเดือน โดยใช้วิธีการติดต่อเข้าไปยัง ISP โดยตรง ซึ่งวิธีการ และรายละเอียดในการให้บริการของแต่ละที่นั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบการให้บริการของ ISP รายนั้น ๆ จะกำหนด หน้าที่โดยทั่วไปของ ISP ก็อย่างที่บอกแต่แรกว่าคำว่า ISP มีหลายความหมาย หลายบทบาท ซึ่งแต่ละบทบาทนั้นความรับผิดก็จะแตกต่างกันออกไป ในที่นี้จะขอกล่าวถึงในความหมายที่เข้าใจกันโดยทั่วไป คือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เนตโดยจะรวมไปถึงบริการ Webhosting ซึ่งหมายถึง บริการให้เช่าพื้นที่ Website และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแล Webboard สาธารณะ โดยอาจรวมถึง Webmaster ที่มีความรับผิดชอบโดยตรงกับข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บด้วย หน้าที่หลักๆของ ISP ก็คือ การให้บริการทางอินเทอร์เน็ต การดูแล Website การตรวจสอบข้อมูลที่จะผ่านออกไปลงในเว็บ ผู้ให้บริการ ISP มี 18 แห่งคือ 1.บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จำกัด 2. บริษัท เคเอสซี คอมเมอร์เชียล อินเทอร์เน็ต จำกัด 3. บริษัท อินโฟ แอคเซส จำกัด 4. บริษัท สามารถ อินโฟเน็ต จำกัด 5. บริษัท เอเน็ต จำกัด 6. บริษัท ไอเน็ต (ประเทศไทย) จำกัด 7. บริษัท เวิลด์เน็ต แอน เซอร์วิส จำกัด 8. บริษัท ดาตา ลายไทย จำกัด 9. บริษัท เอเชีย อินโฟเน็ต จำกัด 10. บริษัท ดิไอเดีย คอร์ปอเรชั่น ประเทศไทย จำกัด 11. บริษัท สยาม โกลบอล แอกเซส จำกัด 12. บริษัท ซีเอส คอมมิวนิเคชั่น จำกัด 13. บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด 14. บริษัท ชมะนันท์ เวิลด์เน็ต จำกัด 15. บริษัท ฟาร์อีสต์ อินเทอร์เน็ต จำกัด 16. บริษัท อีซีเน็ต จำกัด 17. บริษัท เคเบิล วายเลส จำกัด 18. บริษัท รอยเน็ต จำกัด (มหาชน)
4.อินเติร์เน็ตเชือมต่อกันอย่างไร
 4.1 ADSL/FTTx(อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง)
ตอบ 
ADSL ย่อมาจาก Asymmetric Digital Subscribers Line คือเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงแบบใหม่ ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่อ Internet และเครือข่ายระยะไกลได้ด้วยความเร็วสูงโดยใช้คู่สายโทรศัพท์ธรรมดา ถือเป็นเทคโนโลยีของ Modem แบบใหม่ ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของสายโทรศัพท์ที่ทำจากลวดทองแดงธรรมดา ให้เป็นเส้นสัญญาณนำส่งข้อมูลความเร็วสูง โดย ADSL สามารถจัดส่งข้อมูลจากผู้ให้บริการด้วยความเร็วมากกว่า 6 Mbps ไปยังผู้รับบริการ หมายความว่าผู้ใช้บริการสามารถ Download ข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากกว่า 6 Mbps ขึ้นไปจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือผู้ให้บริการข้อมูลทั่วไป (ส่วนจะได้ความเร็ว กว่า 6 Mbps หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ รวมทั้งระยะทางการเชื่อมต่ออีกด้วย)
เทคโนโลยี ADSL มีความเร็วในการรับข้อมูล (Downstream) และความเร็วในการส่งข้อมูล (Upstream) ไม่เท่ากัน โดยมีความเร็วในการรับข้อมูล สูงกว่าความเร็วในการส่งข้อมูลเสมอ เทคโนโลยี ADSL มีความเร็วในการรับข้อมูลสูงสุด 8 เม็กกะบิตต่อวินาที (Mbps) และความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 640 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps.) ความเร็วอาจเริ่มตั้งแต่ 128/64, 256/128, 512/256 เป็นต้น โดยความเร็วแรกเป็นความเร็วขารับข้อมูล
คุณสมบัติของเทคโนโลยี ADSL มีดังนี้
1.ความเร็วสูง เทคโนโลยี ADSL มีความเร็วสูงกว่าโมเด็มแบบ 56K ธรรมดากว่า 5 เท่า (256 Kbps.) หรือสูงสุดกว่า 140 เท่าที่ความเร็ว 8 Mbps.
2.การเชื่อมต่อแบบ Always On สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
3.ค่าใช้จ่ายคงที่ ในอัตราที่ประหยัด ค่าใช้จ่ายเป็นแบบเหมาจ่ายรายเดือนแบบไม่จำกัดเวลา ในราคาเริ่มต้นที่ประหยัด ไม่ต้องเสียค่าเชื่อมต่อโทรศัพท์ต่อครั้ง
ประโยชน์จากการใช้บริการ ADSL
1.สามารถคุยโทรศัพท์พร้อมกันกับการ Access ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกัน ด้วยสายโทรศัพท์เส้นเดียวกัน โดยไม่หยุดชะงัก
2.สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วเป็น 140 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้ Modem แบบ Analog ธรรมดา
3.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะถูกเปิดอยู่เสมอ (Always-On Access) ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากการส่งถ่ายข้อมูลถูกแยกออกจากการ เรียกเข้ามาของ Voice หรือ FAX ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของท่านจะไม่ถูกกระทบกระเทือนแต่อย่างใด
4.ไม่มีปัญหาเนื่องสายไม่ว่าง ไม่ต้อง Log On หรือ Log off ให้ยุ่งยากอีกต่อไป
5.ADSL ไม่เหมือนกับการให้บริการของ Cable Modem ตรงที่ ADSL จะทำให้ท่านมีสายสัญญาณพิเศษเฉพาะเพื่อเชื่อมต่อกับ อินเทอร์เน็ต ขณะที่ Cable Modem เป็นการ Share ใช้สายสัญญาณกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่อาจเป็นเพื่อนบ้านของท่าน
6.ที่สำคัญ Bandwidth การใช้งานของท่านจะมีขนาดคงที่ (ตามอัตราที่ท่านเลือกใช้บริการอยู่เสมอ) ขณะที่ขนาดของ Bandwidth ของการเข้ารับบริการ Cable Modemหรือการใช้บริการ อินเทอร์เน็ตปกติของท่าน จะถูกบั่นทอนลงตามปริมาณการใช้งาน อินเทอร์เน็ตโดยรวม หรือการใช้สาย Cable Modem ของเพื่อนบ้านท่าน
7.สายสัญญาณที่ผู้ให้บริการ ADSL สำหรับท่านนั้น เป็นสายสัญญาณอิสระไม่ต้องไป Share ใช้งานกับใคร ด้วยเหตุนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัยสูง

Powered By Mr.Siwakorn B.
101/336 M.3 T.Samed J.Chonburi 20000.
Webmaster : thame.plus@hotmail.com
 FTTX 

IT News: FTTx สุดยอดเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง


FTTH ย่อมาจากคำว่าไฟเบอร์ทูเดอะโฮม ( Fiber to the Home) หมายความว่า นำสายใยแก้วนำแสง ส่งตรงถึงบ้านของลูกค้า (ปกติแล้วสายประเภทนี้ มีใช้กันอยู่แล้วภายในองค์กร หรือ ระหว่างองค์กร กับ องค์กร ) ซึ่งคุณภาพ และความเร็วในการ รับ-ส่ง สัญญาณ สูงกว่าสายโทรศัพท์ธรรมดาที่เราใช้กันในระบบ ADSL  หลายร้อย-พันเท่า  ซึ่งตัวเลขความเร็วที่ทางผู้ผลิตสายกล่าวถึงนั้น สามารถขึ้นได้สูงเป็นกิกะบิตต่อวินาที (Gbps) กันเลย

FTTH นั้น ความจริงชื่อกลางของมันคือ FTTx คำว่า x หมายถึงสถานที่ ที่สายใยแก้วนั้นไปถึง หากไปถึงบ้าน ก็จะเรียกว่า FTTH (Home) ไปถึงตึกจะเรียกว่า FTTB (Building) ไปถึงสำนักงานจะเรียกว่า  FTTO (Office) เป็นต้น

เทคโนโลยี FTTx ถูกใช้งานในหลากหลายประเทศแล้วไม่ว่าจะเป็น อเมริกา เกาหลี จีน และที่ถูกใช้งานอย่างมากที่สุดคือประเทศญี่ปุ่น ซึ่งราคาเมื่อเทียบกับ ADSL แล้วมีราคาแพงกว่าประมาณ 30% (ในปัจจุบัน) สำหรับประเทศไทย เทคโนโลยีนี้มีเข้ามา  3-4 ปีแล้ว แต่ยังไม่มีการใช้งานอย่างจริงจัง แต่ว่ามีการทดสอบกันอย่างจริงจังในบางพื้นที่แล้ว


แน่นอนว่าการใช้งานระบบ FTTx นั้นเราจะไม่สามารถใช้งานสายโทรศัพท์ปกติเหมือน ADSL ดังนั้นต้องมีการวางระบบ เพื่อสร้างโครงข่ายใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยเริ่มตั้งปัจจัยพื้นฐานของอุปกรณ์ตั้งแต่ สายนำสัญญาณ รวมไปถึงอุปกรณ์ รับ-ส่ง สัญญาณ นั้นต้องใช้ใหม่ทั้งหมดเช่นกัน


FTTH : Fiber to the Home เป็นเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตบอร์ดแบนด์ความเร็วสูงภายในบ้านผ่านสายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง ปัจจุบันเราใช้ ADSL ซึ่งสายโทรศัพท์นี้เป็นสายทองแดง ได้ความเร็วเต็มที่แค่ 9-10 Mbps หากเราเปลี่ยนมาใช้ FTTH โดยเปลี่ยนจากสายทองแดงเป็นสาย Fiber Obtic (เคเบิ้ลใยแก้วนำแสง )  เมื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเราจะได้อินเตอร์เน็ตแรงเร็วสูงมากขึ้น ด้วยความเร็วสูงระดับ 100 Mbps  การอัพโหลดมีประสิทธิภาพในการรับ-ส่งข้อมูลที่เร็วอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระห่ว่าง FTTx กับ ADSL คือ 

FTTH สามารถส่งเน็ตความเร็วสูงได้ไกลมาก สูงถึง 20 Km เลยทีเดียว และความเร็วสปีดในการ upload /download  มากกว่า 2Mbps และอยู่ระดับเท่ากันกับความเร็วดาวน์โหลดด้วย

ADSL ใครที่อยู่ใกล้ชุมสาย มากที่สุดจะได้ความเร็วเต็มที่ ใครที่อยู่ไกลห่างจากชุมสายออกไป  สัญญาณรบกวนเยอะมาก อัพโหลดได้น้อย (ได้ความเร็วอัพโหลดจำกัด สูงสุดแค่ 2Mbps เท่านั้น)

สามารถประยุกต์ในการใช้งานเน็ตในรูปแบบต่างๆที่แตกต่างจากการใช้งานผ่านเน็ต ADSL ธรรมดา เช่น สามารถดูรายการทีวีบนอินเตอร์เน็คด้วยความละเอียดสูง สามารถดูทีวีไปใช้งานอินเตอร์เน็ตไปผ่านทางทีวีแบบ Smart TV ชมทีวีคุณภาพ HD, เราสามารถทำประชุมทางไกลผ่านทาง Video Conference พร้อมกันหลายๆคน (นึกถึง google hangouts)   , การเรียนการสอนผ่านทางไกล , การรับส่งไฟล์ผ่านทาง cloud computing อย่างรวดเร็ว  , การรักษาโรคผ่านระบบทางไกล , ดูกล้อง CCTV ผ่านทาง IP CAMERA ความละเอียดสูง , การถ่ายทอดสดแบบ REALTIME พร้อมสามารถคุยโต้ตอบทันทีได้ เป็นต้น

ในประเทศไทยเองปัจจุบันนี้ ก็มีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง FTTx อยู่หลายๆ เจ้า เช่น TOT , 3BBและ TrueOnline เริ่มเปิดให้บริการอินเตอร์เน็ตแบบ FTTH ในบางจังหวัดและบางพื้นที่แล้ว
4.2 3G/4G อินเติร์เน็ตไร้สายความเรร็วสูง
ตอบ 

เทคโนโลยี 3G และ 4G แตกต่างกันอย่างไร ?

              ถ้าพูดถึงเทคโนลียี 3G และ 4G เชื่อว่าหลายคนๆต้องเคยไดยินกันอย่างคุ้นหูในปัจจุบัน แต่หลายๆคนก็อาจจะไม่รู้ถึงความหมายว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร ใช้งานอย่างไร และ 3G กับ 4G แตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะได้มาไขข้อข้องใจกันค่ะ
              3G คือ เทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่มากในด้านความรวดเร็วและคุณภาพของข้อมูลที่ทำการส่ง โดยการพัฒนาของ 3G ทำให้เกิดการใช้บริการแบบมัลติมีเดีย และส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น ทำให้มีการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลตลอดจนแอพพลิเคชั่นต่างๆดีขึ้น รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้บริการมัลติมีเดียได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยผ่านอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และเทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ และ อินเทอร์เน็ต เป็นต้น  
              4G คือ  เทคโนโลยีซึ่งเป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบเครือข่ายใหม่นี้ จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีก เครื่องหนึ่ง  สำหรับ 4จี จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที เป็นการต่อยอดจากเทคโนโลยี 3 G ในอนาคตการติดต่อสื่อสารทางเครือข่าย 4 Gนั้นสามารถแสดงภาพออกมาในลักษณะของ 3 D hologram  สามารถฉายภาพบุคคลหรือสิ่งของออกมาในรูปแบบ3มิติ
              3G กับ 4G ต่างกันอย่างไร
ระบบเครือข่ายทั้ง 3G และ 4G มีพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันตรงที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย และ ความสามารถครอบครุมพื้นที่การให้บริการที่ระบบเทคโนโลยี 4G สามารถพัฒนาความเร็วในการส่งข้อมูลได้มากกว่าและกว้างขวางกว่าระบบ 3G มากซึ่งในอนาคตอันใกล้ระบบเครือข่าย 4G จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการติดต่อสื่อสารของโลกทั้งในเรื่อง เศรษฐกิจ และ สังคม ที่เทคโนโลยี 4Gจะเข้ามาทำให้คนทั่วโลกใกล้ชิดกันมากขึ้น สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ในทุกที่ทุกเวลาที่ระบบ 4G เข้าถึง
4.3 Satellite อิอเตอร๋เน็ตผ่านดาวเทียม
ตอบ 
Satellite
ดาวเทียมที่ติดตั้งเครื่องรับสั­­าณจากระยะไกล (Remote Sensor) เพื่อสำรวจพื้นโลกเรียกว่า ดาวเทียมสำรวจโลก หรือดาวเทียมสำรวจทัรพยากร ซึ่งดาวเทียมประเภทนี้จะมีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะ แตกต่างกันออกไปตามลักษณะวงโคจร ระดับความสูงและลักษณะเครื่องรับสั­­าณ ซึ่งลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จะแตกต่าง จากดาวเทียมสี่อสารโดยทั่ว ๆ ระบบดาวเทียมสำรวจจากระยะไกล ประกอบด้วย ระบบหลัก 3 ระบบที่สำคั­ดังนี้

1. ระบบติดตามและควบคุม (Control System) ทำหน้าที่คอยหาวงโคจรของดาวเทียมควบคุมวงโคจร ดำเนินกรรมวิธีโปรแกรมต่าง ๆ ให้กับดาวเทียม
2. ระบบควบคุมการปฏิบัติงาน (Operating System) ทำหน้าที่วางแผนการปฏิบัติงานของ ดาวเทียม ประเมินผลข้อมูลจากการสำรวจฐานข้อมูล
3. ระบบข้อมูล (Data System) ทำหน้าที่รับสั­­าณ การบันทึกสั­­าณ กรรมวิธีข้อมูล การเก็บและ แจกจ่ายข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ 


ดาวเทียมสำรวจโลกมีวงโคจรในลักษณะสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์ (Sunsynchronous Satellite) คือ วงโคจรที่หมุนเวียนครบรอบระนาบวงโคจรใน 1 ปี เช่นเดียวกับการปรากฎของดวงอาทิตย์หนึ่งรอบในแต่ ละปีกล่าวคือ ดาวเทียมโคจรรอบโลกผ่านเส้นศูนย์สูตรในแนวเหนือใต้ในระดับความสูงไม่มากนักโดยเฉลี่ย
5.โปรโตคอล protocal(กติกาบนอิเตอร์เนต)
5.1 Tcp/ip>>>
ตอบ 
โปรโตคอล : กติกาของอินเทอร์เน็ต
        การทำงานต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตจะสอดคล้องกันได้ก็ต้องมีกติกาที่ทุกเครื่อง ทุกโปรแกรม รับรู้และทำตามเป็นแบบหรือมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งบนอินเทอร์เน็ตมีกติกาเหล่านี้มากมายสำหรับแต่ละเรื่อง เรียกว่า “โปรโตคอล” (Protocol) ที่สำคัญก็มีอาทิเช่น
TCP/IP กับ IP Address
         เป็นกติกาหลักในการรับส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ข้อมูลทุกรูปแบบไม่ว่าจากโปรแกรมโดก็ต้องแปลงให้อยู่ในมาตรฐานของ TCP/IP เสียก่อนจึงจะรับส่งได้กติกานี้กำหนดวิธี ขั้นตอนในการรับส่งข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องอย่างรัดกุม
         ส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ก็คือ การเรียกชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งทางเทคนิคเรียกว่า “ที่อยู่ IP” หรือ IP address เป็นตัวเลขล้วน ๆ 4 ชุด แต่ละชุดมีค่าระหว่าง 0-255 คั่นด้วยจุด เช่น 202.56.159.90 หรือ 203.107.136.7 เป็นต้อน ซึ่งจะตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ได้นับพันล้านเครื่องโดยไม่ซ้ำกัน
ชื่อโดเมน
          เนื่องจากผู้ใช้ทั่วไปจะรู้สึกว่า IP address นั้นจำยาก จึงมีการคิดระบบ “ชื่อโดเมน” หรือ Domain name ขึ้นมาโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นคำ ๆ ซึ่งสื่อความหมาย นำมาเรียงต่อโดยคั่นแต่ละคำด้วยจุด (.) เช่น kapok.com,hunsa.com, manager.co.th หรือ cnn.com เป็นต้น

5.2 HTTP โปรโตคอลของเว็ป>>>กติกาที่ใช้ดูข้อมูลจากเว็ป
 5.2.1 WEb 2.0
  ตอบ 
Web 2.0                              ปัจจุบันวิถีทางในการใช้อินเทอร์เน็ตของชาวไซเบอร์เปลี่ยนไปจากเมื่อ 2-ปีที่ผ่านมามาก เมื่อก่อนเรารู้จักที่จะใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อส่งอีเมล์ คุยกับเพื่อนด้วยแชตรูม หรือใช้โปรแกรมคุย บางครั้งอาจมีการดาวน์โหลดโปรแกรมใหม่  การหาข้อมูล การแลกเปลี่ยนความเห็นที่เว็บบอร์ด การอ่านข่าว ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือการใช้งานหลัก ๆ ที่เราใช้งาน
ปัจจุบันเราใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อ เขียนบล็อก การแชร์รูป ร่วมเขียน
Wiki การโพสความเห็นลงในท้ายข่าว การหาแหล่งข้อมูลด้วย RSS เพื่อ Feed มาอ่านที่หน้าจอ และกูเกิ้ล จะเห็นได้ว่าวิธีการใช้ชีวิตบนอินเทอร์เน็ตของชาวออนไลน์เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าวสะท้อนการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นที่มาของเว็บ 2.0 หรือยุคใหม่ของ อินเทอร์เน็ตที่ได้เปลี่ยนการใช้งานของเราไปอย่างสิ้นเชิง

ภาพแสดงกรอบขอบเขตของเว็บ 2.0
จึงขอนำเสนอเครื่องมือและเว็บไซต์ที่จะช่วยส่งเสริมความเป็น Web 2.0 ให้แก่เว็บไซต์ของเรา แม้ว่าเครื่องมือบางตัวจะไม่ถือว่าเป็น Web 2.0 แต่เครื่องมือต่างๆ เหล่านั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยี Web 2.0 เป็นส่วนช่วยทำให้เว็บไซต์ทำให้เว็บไซต์มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้มากขึ้น ส่งเสริงเกิดเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขึ้นมา
โดยในเว็บไซต์นี้ผมขอแบ่งเครื่องมือต่างๆ ออกเป็น กลุ่ม ตามลักษณะการใช้งานด้วยกัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเครื่องมือแต่ละตัวนั้นอาจจะอยู่ได้มากกว่าหนึ่งกลุ่ม แต่ในที่นี้ขอจัดให้อยู่ในกลุ่มที่เป็นวัตถุประสงค์หลักของเครื่องมือนั้นๆ นอกจากนี้เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีเครื่องมือที่สามารถแต่งแต้มเว็บของเราให้กลายเป็น Web 2.0 ที่สมบูรณ์ได้อยู่อีกมากมาย บทเรียนนี้เพียงแค่แนะนำเพื่อให้ผู้ศึกษาได้รู้จักนำเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ไปใช้เท่านั้นเอง โดยกลุ่มต่างๆ ของเครื่องมือมีดังนี้
1.       Web application tools - เครื่องมือสนับสนุนการทำงานบนเว็บ
2.       Communication tools - เครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสาร
3.       Community tools - เครื่องมือส่งเสริมการเป็นชุมชนออนไลน์
4.       File sharing tools - File sharing tools - เครื่องมือที่ช่วยในการแบ่งปันข้อมูล

Web 2.0 เป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาอธิบายถึงลักษณะของเทคโนโลยีเวิลด์ไวด์เว็บ และการออกแบบเว็บไซต์ในปัจจุบัน ที่มีลักษณะส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันข้อมูล การพัฒนาในด้านแนวความคิดและการออกแบบ รวมถึงการร่วมสร้างข้อมูลในโลกของอินเทอร์เน็ต แนวคิดเหล่านี้นำไปสู่การพัฒนาและการปฏิวัติรูปแบบเทคโนโลยีที่นำไปสู่เว็บเซอร์วิสหลายอย่าง เช่น บล็อก เครือข่ายสังคมออนไลน์ วิกิ
คำว่า “Web 2.0” เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง หลังจากงานประชุม O'Reilly Media Web 2.0 ที่จัดขึ้นในปี 2547 คำว่า “Web 2.0” นั้นเป็นคำกล่าวเรียกลักษณะของเวิลด์ไวด์เว็บในปัจจุบัน ตามลักษณะของผู้ใช้งาน โปรแกรมเมอร์และผู้ให้บริการ ซึ่งตัว Web 2.0 เองนั้นไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาทางด้านเทคนิคแต่อย่างใด ทิม เบอร์เนิร์สลี ผู้คิดค้นเวิลด์ไวด์เว็บ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะทางเทคนิคของ Web 2.0 นั้นเกิดขึ้นมานานกว่าคำว่า “Web 2.0” จะถูกนำมาเรียกใช้
Web 2.0 นั้นมีคำจำกัดความหลายอย่าง Tim O'Reilly ได้กล่าวไว้ว่า Web 2.0 เปรียบเหมือนธุรกิจ ซึ่งเว็บกลายเป็นแพลตฟอร์มหนึ่ง ที่อยู่เหนือการใช้งานของซอฟต์แวร์ โดยไม่ยึดติดกับตัวซอฟต์แวร์เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมา โดยมีข้อมูล ที่เกิดจากผู้ใช้หลายคน (ตัวอย่างเช่น บล็อก) เป็นตัวผลักดันความสำเร็จของเว็บไซต์อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเว็บไซต์ในปัจจุบันมีลักษณะการสร้างโดยผู้ใช้ที่อิสระ และแยกจากกัน ภายใต้ซอฟต์แวร์ตัวเดียวกัน เพื่อสรรค์สร้างระบบให้ก่อเกิดประโยชน์ในองค์รวม Tim O'Reilly ได้แสดงตัวอย่างของระดับของ Web 2.0 ออกเป็นสี่ระดับ ดังนี้
·         ระดับ 3 - ระดับของการใช้งานจากผู้ใช้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารของมนุษย์ภายใต้เว็บไซต์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น Wikipedia Skype E-bay Craigslist
·         ระดับ ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อนำมาใช้งานออนไลน์ นั้น จะมีประโยชน์มากขึ้นจากการเชื่อมโยงผู้ใช้งานเข้าด้วยกัน ซึ่ง Tim O’Reilly ยกตัวอย่างเว็บไซต์ Flickr เว็บไซต์อัปโหลดภาพที่มีการใช้งานเชื่อมโยงระหว่างภาพ และเช่นเดียวกันระหว่างผู้ใช้งาน
·         ระดับ 1 - ระดับการจัดการทั่วไปที่สามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านอินเทอร์เน็ต แต่มีความสามารถเพิ่มขึ้นมีนำมาใช้งานออนไลน์ ตัวอย่างเช่น Google Docs และ iTunes
·         ระดับ ระดับที่สามารถใช้งานได้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น Mapquest และ Google Maps
โดยลักษณะที่เด่นชัดของ Web 2.0 นั้น จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาและการโต้ตอบระหว่างผู้ให้บริการ และผู้ใช้งาน แทนที่จากระบบเว็บแบบเก่า ที่เป็นลักษณะของการให้บริการอ่านอย่างเดียว โดยรวมไปถึงการรวดเร็ว และการง่ายดายของการส่งข้อมูล แทนที่แบบเก่าที่ต้องจัดการผ่านเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งบล็อกและเว็บที่ให้บริการอัปโหลดภาพถูกนำมาใช้เป็นตัวอย่างของ Web 2.0 ที่ให้เห็นได้ทั่วไป ที่มีการให้บริการแสดงความคิดเห็น รวมถึงการใช้งานที่ง่าย โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด เห็นได้ว่าลักษณะของWeb 2.0 นั้นก่อให้เกิดการสร้างเนื้อหา ที่รวดเร็ว และมีการแบ่งปันข้อมูลที่ง่ายขึ้น โดยลักษณะของเว็บเปลี่ยนจากทางเน้นหนักทางด้านเทคนิค ไปในด้านข้อมูลข่าวสารแทนที่ และก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านธุรกิจต่อมา
ถึงแม้ว่า Web 2.0 จะมีการนิยมใช้งาน AJAX Flash Flex Java Silverlight ช่วยในการจัดการข้อมูล แต่ตัวเทคโนโลยีเหล่านั้น ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในรูปแบบของ Web 2.0 แต่อย่างใด โดยเทคโนโลยีเหล่านั้นช่วยให้เว็บเพจสามารถดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มาที่หน้าเว็บได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องอ่านหน้าทั้งหมดใหม่ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความสะดวกสบายมากขึ้น
คุณลักษณะของเว็บ 2.0
1.       หลังจากที่ดอตคอมในยุคนั้นได้ล่มสลายลงไป แนวคิดของการสร้างสรรค์ธุรกิจเว็บไซต์ และการออกแบบต่าง ๆ ได้มีพัฒนาการที่สำคัญเพิ่มขึ้นเช่น เรื่องความน่าสนใจของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ รวมถึงวิธีการดำเนินธุรกิจออนไลน์ด้วยแนวทางใหม่ๆ จึงได้กำหนดคุณลักษณะของเว็บ 2.0 ดังนี้
2.       ลักษณะเนื้อหามีการแบ่งส่วนบนหน้าเพจเปลี่ยนจากข้อมูลก้อนใหญ่มาเป็นก้อนเล็ก
3.       ผู้ใช้สามารถเข้ามาจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บได้และสามารถแบ่งปันเนื้อหาที่ผ่านการจัดการให้กับกลุ่มคนในโลกออนไลน์ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของสังคมออนไลน์สังคมออนไลน์เกิดความเป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น เกิดกิจกรรมบนนั้นมากขึ้น
4.       เนื้อหาจะมีการจัดเรียง จัดกลุ่มมากขึ้นไปกว่าเดิม
5.       เกิดโมเดลทางธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และทำให้ธุรกิจเว็บไซต์กลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล
6.       การบริการ คือ เว็บที่มีลักษณะเด่นในการให้บริการหลาย ๆ เว็บไซต์ที่มีแนวทางเดียวกัน
 5.2.2  mobile Site
 ตอบ
ทำเงินบนโลกไอที (92) : เปิดคัมภีร์ออกแบบ Mobile Site ที่ดีและสร้างเงิน
ลักษณะหน้าจอโทรศัพท์มือถือเมื่อเปิดชมเว็บไซต์ทั่วไปและ mobile site ซึ่งให้ความสะดวกที่แตกต่างกัน
        เพราะ "mobile site" หรือเว็บไซต์สำหรับแสดงบนอุปกรณ์พกพาออนไลน์เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจควรมีในปี 2556 บทความครั้งที่แล้วจึงพาคุณไปพบวิธีการสร้าง mobile site ที่ไม่ต้องใช้งบประมาณสูง แต่บทความนี้จะให้ไอเดียในการออกแบบ mobile site ที่ดีและทำเงินในทุกแง่มุม ซึ่งอาจมีหลายจุดที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างไม่เคยรู้มาก่อน
     
       ***Mobile Site ที่ดี และสร้างเงินในโลกธุรกิจ
       โดย อาทิตย์ ธำรงธัญวงศ์ @mobilebomb
     
       ภายในปี 2556 ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า mobile device จะเป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานในการเข้าสู่ website มากที่สุด มากกว่าอุปกรณ์ใดๆ รวมถึง PC ยิ่งไปกว่านั้นในผู้บริโภคอย่างในสหรัฐอเมริกามีการใช้จ่ายผ่าน mobile device มากที่สุดเช่นกัน จึงเห็นได้ว่า mobile site เป็นสิ่งสำคัญที่ธุรกิจจำเป็นจะต้องมีเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้งานของลูกค้า
     
       ช่วงเวลานี้จึงนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญคล้ายๆ เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่ทุกธุรกิจจำเป็นจะต้องมี website เป็นของตัวเอง ดังนั้นผู้ประกอบการควรเล็งเห็นความสำคัญของสื่อใหม่นี้ และวางแผนปรับปรุง สร้าง mobile site เพื่อรองรับการใช้งาน และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจต่อไปในอนาคต
     
       ถึงแม้ว่า browser หลายที่เราคุ้นเคยกันจะตัวสามารถเปิด website ที่ออกแบบเพื่อใช้งานบน desktop ได้ แต่เมื่อใช้งานบน mobile device จะเห็นได้ชัดว่าใช้งานไม่สะดวก และที่สำคัญโหลดช้ากว่า mobile site อย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งตัวอักษรที่ปรากฏบนจอภาพยังมีขนาดเล็กไม่สะดวกต่อการอ่าน ต้องใช้การ zoom เข้าออก ทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างลำบาก และถ้าหาก website ใดมีการใช้งาน flash ด้วยแล้วละก็ อุปกรณ์มือถือบางระบบ เช่น iPhone ไม่สามารถแสดงผลได้เลย
     
       เมื่อหลายธุรกิจมี mobile site แต่คุณยังไม่มี หรือมีแต่ไม่ดีเพียงพอ นี่อาจทำให้ลูกค้า หรือโอกาสทางธุรกิจถูกเปลี่ยนไปอยู่กับคู่แข่งก็เป็นได้
     
       วิธีการสร้าง mobile site นั้นก็มีหลายวิธี ซึ่งวิธีลักษณะ turn-key solution ก็สามารถเลือกใช้ได้จากหลายผู้ให้บริการ เช่น howtogomo.com เป็นต้น ในบทความนี้จะขอกล่าวถึงจุดเริ่มต้นที่สำคัญ นั้นคือ mobile site ที่ดีเป็นอย่างไร และสามารถสร้างเงินในโลกธุรกิจได้โดยวิธีใดบ้าง
     
       "Mobile Site ที่ดี" เป็นอย่างไร?
     
       หลายธุรกิจอาจจะอยากมี App เป็นของตัวเอง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็พูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งขึ้นอยู่กับธุรกิจ หรือแบรนด์ ว่าควรจะมีหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจคุณควรจะมี mobile site ก่อนที่จะมี App เนื่องจากจุดประสงค์หลักของคุณคือต้องการให้ข้อมุลของธุรกิจถึงคนในจำนวนหมู่มาก App มีข้อจำกัดในการใช้งานข้ามระบบปฏิบัติการ แต่ mobile site นั้นสามารถใช้งานผ่านทุกอุปกรณ์ mobile ที่มี browser อีกทั้งในแง่ธุรกิจส่วนใหญ่ ถ้ามองจากพฤติกรรมการค้นหาสิ่งที่ต้องการของลูกค้า (search) ลูกค้าส่วนใหญ่คงไม่พยายามค้นหาธุรกิจของคุณจาก App Store ก่อนเป็นแน่ วิธีที่ลูกค้าของคุณจะใช้หาคุณเป็นสิ่งแรกคือการ search ด้วย mobile device
     
       สิ่งสำคัญในการออกแบบ mobile site ที่ดีคือการออกแบบเพื่อการใช้งานด้วยนิ้วมือ ปุ่มจะต้องมีขนาดใหญ่พอเหมาะสำหรับการสัมผัสด้วยนิ้วมือ รวมถึงขนาดของตัวอักษร (font) ที่ใหญ่เพียงพอ และที่ขาดไม่ได้คือ รูปแบบโครงสร้างของ site ที่ไม่ซับซ้อน เหมาะกับการใช้งานบน mobile device ที่เน้นความสะดวกรวดเร็ว โดยสิ่งเหล่านี้ทำได้โดย
     
       1. ลดจำนวนปุ่ม
       2. ลดจำนวนครั้งในการกด (เพื่อไปถึงข้อมูลที่ต้องการ)
       3. วางสิ่งสำคัญไว้ส่วนบนสุด (เนื่องจาก mobile site เน้นการ scroll)
       4. เรียงปุ่มในแนวตั้ง (mobile device เน้นการใช้งานแนวตั้ง)
     
       ทั้งนี้การออกแบบ mobile site ที่ดีต้องคำนึงถึงชนิดของข้อมูลที่ต้องการแสดงด้วย สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงเสมอคือ ลูกค้ามักจะใช้งานเมื่ออยู่ข้างนอก กำลังหาทาง เดินทางไปด้วย จึงต้องการความสะดวกรวดเร็ว ตัดข้อมูลที่ไม่สำคัญ โดยแสดงแต่ข้อมูลที่คิดว่าลูกค้าต้องการที่สุดไว้เท่านั้น เช่นร้านอาหาร อาจจะเน้นการแสดงข้อมูลที่อยู่ เวลาทำการ หมายเลขติดต่อ แผนที่ และเมนูอาหารเด่นๆ เป็นต้น
     
       สิ่งที่ไม่ควรทำในการออกแบบ mobile site เลยคือ การ scroll แนวนอน และ content แบบ hovering (ลอยอยู่เหนือข้อมูลอื่น) จะทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างลำบาก ส่งผลให้ลูกค้าสับสน และเปลี่ยนไปใช้บริการเวปอื่นได้
     
       สร้างรายได้บน Mobile Site ทำอย่างไร?
     
       เมื่อธุรกิจคุณมี mobile site ที่ดี น่าใช้งาน พร้อม และง่ายต่อการค้นพบ ไม่ว่าจะโดยลูกค้าใหม่หรือเก่า เพียงเท่านี้ธุรกิจของคุณก็มีโอกาสที่จะถูกค้นพบจากลูกค้าผ่านทางสื่อใหม่ได้ตลอดเวลา ส่งผลให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมธุรกิจหรือร้านค้าของคุณมีจำนวนเพิ่มขึ้น โอกาสการสร้างรายได้ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
     
       ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นอะไร สิ่งสำคัญที่คุณต้องคำนึงถึงในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดของคุณ คือการวางแผนให้ mobile site ของคุณเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติการเพิ่มยอดขาย โดยมีสิ่งสำคัญง่ายๆ ดังนี้
     
       1. ลูกค้าสามารถหา mobile site ของธุรกิจคุณเจอ
       2. ลูกค้าสามารถใช้จ่ายซื้อของใน mobile site หรือมาใช้จ่ายที่หน้าร้านของคุณในเวลาทำการ
       3. มีหมายเลขติดต่อเด่นชัดใน mobile site และสามารถทำให้โทรติดต่อได้ในทันทีด้วยสัมผัสเดียว
     
       เท่านี้คุณก็มีโอกาสที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติมที่อย่างน้อยเพียงพอต่อต้นทุนการทำ mobile site แล้วอย่างแน่นอน ในบางธุรกิจเพียงแค่ได้ลูกค้าจาก mobile site ไม่กี่รายก็อาจมีกำไรมากกว่าค่าใช้จ่ายในการมี mobile site ในแต่ละเดือนแล้ว
     
       ต่อไปไปมาดูว่าคุณจะสามารถสร้างธุรกิจเพิ่มเติมกับ mobile site ได้ด้วยวิธีใดบ้าง
     
       E-commerce : เมื่อพูดถึง e-commerce ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาในการหารายได้ออนไลน์ ถึงแม้ว่าหลายธุรกิจออนไลน์จะมุ่งเน้นให้คุณทำธุรกรรมผ่านเวปหลัก หรือ desktop site แต่ในขณะที่ผู้บริโภคหันไปใช้ mobile device เป็นอุปกรณ์สำคัญในการเข้าถึงการจับจ่ายใช้สอยต่างๆ เจ้าของธุรกิจก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
     
       Mobile Ads (AdSense for mobile) : มีสองวิธีที่ในการใช้ mobile Ads ให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ
     
       1. ดึงคนดูให้มาชม website ของคุณด้วยการซื้อ Ads บน website อื่น หรือการซื้อ keyword บน search engine เพื่อเพิ่มอัตราการถูกค้นพบโดยลูกค้าใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนจะส่งผลกับยอดขายที่จะเพิ่มขึ้น
       2. ถ้า mobile site ของคุณเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง และมีคนเข้าชมพอสมควรแล้ว คุณอาจพิจารณาเพิ่มช่องทางการหารายได้ด้วยการขาย mobile Ads โดยอาจใช้วิธีการติด banner หรือ ใช้ระบบบริการ mobile Ads ต่างๆ เช่น Google AdSense for Mobile หรือ InMobi หรือจะเป็นอะไรที่ง่ายๆ แค่ text links ก็ได้เป็นต้น
     
       Coupons : คูปองส่วนลด แลก แจก แถม หรือข้อเสนอพิเศษกับลูกค้าก็เป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยดึงลูกค้าจากออนไลน์มาที่หน้าร้าน และอาจได้ยอดเพิ่มจากการจับจ่ายในสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย
     
       SMS Marketing (Landing Page) : การเปิดหน้าเวปเพื่อให้ใส่หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ในกรณีที่ลูกค้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสินค้า หรือโปรโมชั่นใหม่ ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าโดยที่ลูกค้าเป็นผู้แสดงความจำนงเอง ลดปัญหาลูกค้าบ่นธุรกิจกวนใจ
     
       มาดูตัวอย่าง mobile site ที่น่าสนใจในต่างประเทศ
     
       1. Sephora (http://m.sephora.com)
     
       เมื่อคุณเข้า site นี้ด้วยชื่อเวปปกติจาก mobile device คุณจะถูก redirect ไปที่ mobile site ทันที เวปนี้ดูง่าย สะอาดตา ด้วยการใช้ตัวเลือกเมนูเพียง 3 เมนูหลัก เรียงเป็นแถวอยู่ด้านบนสุด และการใช้ปุ่มใหญ่เรียงในรูปแบบตารางในการเลือกเมนูย่อยทำให้การใช้งานง่ายต่อการเข้าใจ ไม่ซับซ้อน รวมถึงขนาดเวปที่เล็กกว่า desktop site มาก ทำให้โหลดได้รวดเร็ว ข้อมูลบน desktop site กับ mobile site ยังคงความเหมือนทำให้ลูกค้าไม่สับสน และยังมีข้อมูลการติดต่อที่หาง่ายด้วย
     
       สิ่งที่ Sephora ทำเพิ่มมากกว่าปกติทั่วไปคือ ข้อมูลที่มีใน mobile site โดยเฉพาะเท่านั้น เป็นการดึงให้ลูกค้าสนใจเข้าใช้ mobile site อีกด้วย
     
       2. Mini USA (http://mobile.miniusa.com)
     
       เช่นกันเมื่อคุณเข้า Mini USA ด้วย link ปกติจาก mobile device คุณจะถูก redirect ไปที่ mobile site ทันที การออกแบบที่เรียบง่ายชัดเจน เวปนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้ระบบเมนูอย่างยอดเยี่ยม โดยการใช้แถบที่ใหญ่เรียงในแนวตั้ง เหมาะกับการใช้นิ้วสัมผัส เน้นการให้ข้อมูลสำคัญเช่น รายละเอียดสินค้า ทั้งรูปภาพ และอักษร มีการแสดงโปรโมชั่นพิเศษให้เห็นอย่างชัดเจน คุณจะสามารถหาหมายเลขติดต่อ และที่อยู่ของศูนย์ทั่วประเทศได้ภายในการสัมผัสไม่กี่ครั้ง และเมื่อคุณพบแล้วก็สามารถกดหมายเลขเพื่อโทรติดต่อได้ทันที
     
       นอกจากนั้นคุณยังสามารถลงทะเบียน email เพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติมในโอกาสต่อไปอีกด้วย เรียกได้ว่าครบถ้วนกระบวนการสร้าง mobile site ที่ดีเลยทีเดียว เป็นตัวอย่างที่ดีว่าทำไมคุณไม่จำเป็นจะต้องทำ App
     
       เท่านี้ คุณก็เริ่มวางแผนคิดเพิ่มเติมขยายธุรกิจของคุณด้วย mobile site ได้แล้ว 
ทำเงินบนโลกไอที (92) : เปิดคัมภีร์ออกแบบ Mobile Site ที่ดีและสร้างเงิน
รูปแบบการแสดงผลของหน้าเว็บไซต์ที่ต่างกันของหน้าจอแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน
        
ทำเงินบนโลกไอที (92) : เปิดคัมภีร์ออกแบบ Mobile Site ที่ดีและสร้างเงิน
mobile site ของ Sephora
        
ทำเงินบนโลกไอที (92) : เปิดคัมภีร์ออกแบบ Mobile Site ที่ดีและสร้างเงิน
mobile site ของ Mini USA





  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น